วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การตกไข่





รอบระดู ( MENSTRUAL CYCLE )
เมื่อสตรีเข้าสู่วัยสาว รังไข่จะเริ่มทำงาน โดยตอบสนองต่อฮอร์โมนตากต่อมใต้สมอง ทำให้มีการเจริญของฟองไข่และสร้างฮอร์โมนเพศชนิดต่าง ๆ ในภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเจริญของไข่ และการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูก
การเปลี่ยนแปลงของระบบสืบพันธุ์ของสตรีจะมีเป็นรอบหรือวงจร แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 25 - 35 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 28 วัน โดยวันแรกที่มีประจำเดือนนับเป็นวันที่1 ซึ่งในแต่ละรอบเดือนจะมีเหตุการณ์ดังนี้

รอบระดู
1. ระยะมีระดู (MENSTRUATION)
เป็นระยะที่เยื่อบุโพรงมดลูกของรอบระดูรอบที่แล้วหลุดลอดออกมา เนื่องจากฮอร์โมน
โปรเจสโตเจนลดระดับลง ปกติเลือดระดูจะออกนาน 3 – 5 วัน
2. ระยะเจริญเติบโต (PROLIFERATIVE PHASE)
รังไขจะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นหลัก กระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกแบ่งตัว และ
เจริญขึ้นตามลำดับ ระยะนี้มีเวลาไม่แน่นอน โดยเฉลี่ยประมาณ 14 วัน
3. ระยะไข่ตก (OVULATION)
เมื่อไข่ที่สุกมากที่สุดถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนกระตุ้นให้ไข่ตก (LUTEINIZING
HORMONE) ไข่จะตกออกมาพร้อมที่จะมีการผสมพันธุ์หากมีเพศสัมพันธุ์ในระยะนี้ โดยทั่วไปจะมีไข่ตกรอบละ 1 ฟองเท่านั้น
4. ระยะหลังไข่ตก (SEVRETORY PHASE)
เมื่อไข่ตกแล้ว ฟองไข่จะเปลี่ยนเป็น CORPUS LUTEUM สร้างฮอร์โมนโปรเจส
เตอโรนเป็นหลัก กระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีความพร้อมที่จะรับการฝังตัวและให้อาหารแก่ตัวอ่อน หากไม่มีการตั้งครรภ์ ฟองไข่จะฝ่อลงในที่สุด และสร้างฮร์โมนน้อยลง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นเลือดระดูในระยะนี้กินเวลาประมาณ 12 – 14 วัน
การเปลี่ยนแปลงของรังไข่
ไฮโพทาลามัสจะ สร้างโกนาโดโทรปิน รีรีสซิ่งฮอร์โมน (gonadotropin releasing hormone) ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งฮอร์โมนเอฟ เอส เอช (FSH) ทำให้มีการกระตุ้นไข่ในรังไข่ให้เจริญเติบโตขึ้น
ในตอนแรกในรังไข่จะมีไข่หลายใบ แต่ภายใน 5-7 วัน จะมีเซลล์ฟอลลิเคิลใบหนึ่งโตมากกว่าใบอื่น (dominant follicle) ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอีสโทรเจนออกมามากจนไปยับยั้งการทำงานของเอฟ เอส เอช (FSH ) ไม่ให้หลั่งออกมากระตุ้นการทำงานของฟอลลิเคิลอื่นอีกทำให้แต่ละเดือนมีไข่ตกเพียงใบเดียวและโดยปกติจะสลับข้างของรังไข่ 2 ใบ ซึ่งมีด้านซ้ายและด้านขวาอีสโทรเจนกระตุ้นให้เซลล์ฟอลลิเคิล(follicle) สร้างของเหลวออกมาสะสมอยู่ระหว่างเซลล์ และ มีช่องกลวงตรงกลาง (astral follicle) ล้อมรอบไข่หรือโอโอไซด์(oocyte)
การเจริญของถุงไข่อ่อน การตกไข่ การเกิดและการสลายตัวของคอร์ปัสลูเทียม
การตกไข่
จากผลของโกนาโดโทรปินที่สูงขึ้น จะกระตุ้นให้ฟอลลิเคิลที่เจริญเติบโตเต็มที่มีปริมาณของเหลวในถุงกราเฟียนจำนวนมาก และแกรนูโลซาก็เพิ่มจำนวน และเซลล์ทีคาก็หลั่งอีสโทรเจนมากขึ้น เมื่อถุงไข่อ่อนมี ขนาดใหญ่ทำให้เซลล์แกรนูโลซาจับกันไม่ติด ถุงไข่อ่อนจะปริตรงจุดจำเพาะ (stigma) เป็นบริเวณที่บางและมีเลือดมาเลี้ยงน้อย
ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการตกไข่
ที่ผนังของฟอลลิเคิลจะมีส่วนประกอบเป็นคอลลาเจนที่เหนียว ในขณะที่ฟอลลิเคิลมีการเจริญเติบโตมากขึ้นจะมีการหลั่งฮอร์โมนอีสโทรเจนออกมามากด้วย ทำให้มีการเพิ่มตัวรับสัญญาณของฮอร์โมนแอล เอช (LH) ที่ชั้นทีคา (theca) ของรังไข่มากขึ้น ทำให้แอล เอช มีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บางทฤษฎีเชื่อว่าฮอร์โมนแอล เอช กระตุ้นให้แกรนูโลซาเซลล์ผลิตสารกระตุ้นพลาสมิโนเจน (plasminogen activator) เมื่อมี LH มากระตุ้น จะทำให้เซลล์บวมขึ้น เซลล์จะปล่อยพลาสมินโนเจน ซึ่งจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ตัวหนึ่งทำให้กลายเป็นพลาสมิน และพลาสมินจะเป็นเอนไซม์อีกตัวหนึ่งช่วยย่อย คอลลาเจนในถุงไข่อ่อน ให้ผนังอ่อนตัวลงเมื่อเกิดแรงดันของของเหลวที่แอนทรัมก็จะเกิดการตกไข่(ovulation) ออกมา
ไข่เริ่มมีการแบ่งตัวอีกครั้งต่อจากระยะโปรเพสจนถึงระยะทีโลเฟส -1 คือการแบ่งเซลล์แบบครึ่งจำนวนครั้งที่ 1 เซลล์ไข่อ่อนขั้นที่1 กลายเป็นเซลล์ไข่ขั้นที่ 2 พร้อมที่จะปฏิสนธิแล้วหลุดออกจากรังไข่ เรียกว่า การตกไข่ (ovulation) และจะเคลื่อนที่เข้าไปในส่วนปลายของท่อนำไข่ที่คล้ายนิ้วมือ (fimbria) ไข่จะมีอายุประมาณ 24 ชั่วโมง ถ้าไม่ได้รับการผสมจากอสุจิจะสลายไป ซึ่งในระยะนี้จะมีการสร้างเยื่อบุมดลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (proliferative phase)
คอร์ปัส ลูทีล (corpus luteum)
หลังไข่ตก ขนาดเซลล์ของฟอลลิเคิลในรังไข่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีช่องว่างและสะสมสารที่มีสีเหลืองจึงเรียกระยะนี้ว่าคอร์ปัส ลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งแปลว่า โครงสร้างสีเหลือง และมีเลือดจำนวนมากขังอยู่ซึ่งจะค่อยๆดูดซึมไป
คอร์ปัส ลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งมีโครงสร้างสีเหลืองและอาจมีเลือดขังอยู่
ก่อนที่ไข่ตกนี้จะเริ่มมีฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนในปริมาณเล็กน้อยแล้ว ฟอลลิเคิลในรังไข่ที่ไข่หลุดออกไปแล้ว เรียกว่าคอร์ปัส ลูทีล (corpus luteum) ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนในปริมาณที่มากโดยเฉพาะช่วงกลางของระยะหลังไข่ตก และสร้างอีสโทรเจน (estrogen) บ้าง โพรเจสเทอโรนจะทำงานร่วมกับฮอร์โมนอีสโทรเจน เพื่อป้องกันการแท้งบุตร (abortion) และทำให้เยื่อบุของมดลูกมีการเจริญเติบโตเพื่อเตรียมพร้อมในการฝังตัวของตัวอ่อน (embryo) และกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันตนเองไม่ให้ต่อต้านทารกระหว่างมีการฝังตัว

เมื่อมี FSH และ LH มากขึ้น จะกระตุ้นให้ไข่เจริญใหญ่ขึ้น ขนาดของไข่ที่เจริญขึ้น จะกระตุ้นให้มีการสร้าง อีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนมากขึ้น ปริมาณของLH และ FSH ที่เพิ่มมากที่สุดในกลางรอบเดือน จะกระตุ้นให้มีการตกไข่ อีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่หลั่งออกมามากจะกระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกเจริญเติบโต ภายหลังที่ไข่ตกแล้ว คอร์ปัส ลูเทียมจะกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนมากขึ้น และกระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญต่อไปได้อีกจนกระทั่งถ้าไม่มีการปฏิสนธิ ระดับของฮอร์โมนอีสโทรเจน และโพรเจสเทอโรนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เยื่อบุมดลูกหลุดลอกเป็นประจำเดือนออกมา
ระดับของฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่มีผลต่อการเจริญของเยื่อบุมดลูกและรอบประจำเดือน
คอร์ปัส ลูเทียม จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนประมาณ 10 สัปดาห์ แล้วรก(placenta) จะมาทำหน้าที่แทน แต่ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสมจากอสุจิ คอร์ปัสลูทีลจะหลั่งฮอร์โมนลดลงและเปลี่ยนเป็นสีขาว เรียกว่าคอร์ปัสอัลปิเเคน (corpus albican) และจะสลายไปประมาณวันที่ 12 หลังไข่ตก(secretory phase) และอีกประมาณ 2 – 3 วันจะมีประจำเดือน(menstruation) ซึ่งมีคำกล่าวว่า ประจำเดือนคือน้ำตาเลือดจากครรภ์ที่ประสบความผิดหวัง” (menstruation is the bloody tears from a disappointed womb) ระดับของฮอร์โมนจะลดลงอย่างรวดเร็วไปกระตุ้น เอฟ เอส เอช (FSH) ให้ทำงานใหม่อีกครั้ง ระยะนี้ระยะเวลานี้ ไม่ค่อยคลาดเคลื่อน ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 14 วัน ในวันที่ไข่ตกอุณหภูมิของร่างกายจะลดลง หลังจากนั้นอุณหภูมิจะสูงขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น